วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

อากาศยานแห่งภารตะยุค






อากาศยานแห่งภารตะยุค สำหรับมหากาพย์ของอินเดียเรื่องมหาภารตะ และรามายณะ หรือรามเกียรติ ผมจะไม่เล่าประวัติ หรือเนื้อเรื่องของมหากาพย์ทั้งสองนี้ล่ะนะครับ คิดว่าคงรู้กันดีอยู่ ปัญหามันมีอยู่ว่าที่เราเรียนๆหรืออ่านกันนี้ มันเป็นฉบับดัดแปลงครับ หมายถึงสำนวน เนื้อเรื่อง ต่างๆเพี้ยนจากต้นฉบับไปเยอะมาก (ทำนองเดียวกับไบเบิล)

ส่วนหนึ่งอาจมาจากกาลเวลาที่ยาวนาน รวมถึงการเล่าสืบต่อมาหลายชั่วอายุคน จนเพี้ยนจากต้นฉบับเดิมมาก ส่วนหนึ่งก็มาจากการแปลครับ การแปลจากภาษาหนึ่งไปยังอีกภาษาหนึ่งเป็นเรื่องที่ลำบาก เพราะต้องคำนึงถึงภาษา ตลอดจนปัจจัยอื่นๆประกอบกันเพราะฉะนั้น ขอให้ทำความเข้าใจกันนิดว่า เอกสารทั้งหลายที่ผมอ้างอิงถึง เป็นเอกสาร Original ซึ่งขุดค้นพบโดยนักโบราณคดี และนักวิชาการเท่านั้น ถ้าคุณไปซื้อฉบับที่เป็นวรรณกรรมมาอ่านแล้วเนื้อหาไม่เหมือนกันจะมาโวยวายผมไม่ได้นา
เอาล่ะ มาเข้าเรื่องกันเสียที นักวิชาการผู้สนใจเรื่องอารยธรรมโบราณทั้งหลายแหล่ มีอยู่ส่วนหนึ่งครับ ที่ปักใจเชื่อมั่นว่า ในอดีตโลกของเรา เคยถูกครอบครองโดยสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากนอกโลกมาก่อน 

อินเดียเป็นหนึ่งในแหล่งอารยธรรมใหญ่ของโลก เคยรุ่งเรืองทั้งศาสตร์และศิลป์มาตั้งแต่อดีตกาล เรารู้จักกันในนามของอารยธรรมลุ่มน้ำ คงคา-สินธุ ครับ กลุ่มชนที่อาศัยในแถบนั้นสืบเชื้อสายมาจากชาวอินโด-อารยัน อันเป็นหนึ่งในเชื้อสายใหญ่ๆของโลก

ชาวอินโดอารยันในแถบนี้มีความรู้ทางภาษามากครับ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ปรัชญา วรรณกรรม จึงมีให้เห็นเกลื่อนไปหมด ทว่า มีวรรณกรรมอยู่หลายเรื่องที่เก่าแก่จนหาที่มาที่ไปไม่ได้ว่าเริ่มต้นมาจากไหน บางเรื่องเก่ากว่าต้นกำเนิดของผู้คนในแถบ หิมาลายันเสียอีก มหาภารตะ คือหนึ่งในเรื่องราวเหล่านี้ครับ 

จากต้นฉบับภาษาสันสกฤตโบราณที่ถูกค้นพบในอินเดียและปากีสถาน ทำให้นักโบราณคดีถึงกับอึ้งครับเมื่อพวกเขาแปลพบจารึกเหล่านี้ ร้อนถึงสภามหาวิทยาลัย และ สถาบันวิจัยของกองทัพอินเดียต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในการแปลข้อความเหล่านี้ ต้นฉบับสันสกฤตของมหาภารตะถูกค้นพบนานมากแล้วครับ เพียงแต่แรกเริ่มเดิมที ต้นฉบับเหล่านี้ถูกมองเป็นเพียงนิทานเท่านั้น แปลไปแปลมามันไม่ยักกะใช่น่ะซีครับ เพราะเนื้อหาที่กล่าวถึงมันช่างล้ำยุคล้ำสมัยเป็นที่สุด ร้อนถึงหลายๆสถาบันที่เกี่ยวข้องในยุโรปและอเมริกาต้องมาประชุมเครียดกัน เพื่อถกเถียงปัญหาเกี่ยวกับต้นฉบับดังกล่าว ผลสรุปได้ ออกมาดังนี้ครับ กลุ่มแรกเห็นว่ามันเป็นเพียง"ตำนาน"เท่านั้น ก็แค่นิทานและจินตนาการของกวี ไม่เห็นมีอะไรซักหน่อย แต่อีกกลุ่มเค้าไม่คิดแบบนั้นน่ะซีครับ เค้าบอกว่านี่แหละคือหลักฐานแบบจะๆที่สามารถอ้างอิงได้ว่า ในอดีตมนุษย์เคยมีการติดต่อกับสิ่งทรงภูมิปัญญาจากนอกโลก รวมถึงทำสงครามกันด้วยอากาศยานและเทคโนโลยีทางนิวเคลียร์ด้วย


เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง นักโบราณคดีชาวจีนได้ค้นพบจารึกภาษาสันสกฤตในมณฑลลาซาของทิเบต ภาษาที่ใช้โบราณจนแปลลำบากมาก กลุ่มนักโบราณคดีได้ส่งจารึกชิ้นนี้ไปที่มหาวิทยาลัย Chandrigarh เพื่อขอความช่วยเหลือในการแปล ดร.Ruth Reyna หัวหน้าทีมแปลจารึกชิ้นนี้กล่าว่า เอกสารพวกนี้กล่าว ถึงวิธีการสร้างยานอวกาศครับ! เป็นยานที่ใช้โดยสารระหว่างดวงดาว มีการกล่าวถึงหลักการขับเคลื่อนของวิมานะ ด้วยกรรมวิธีที่เรียกว่า "laghima" ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไรกันแน่ ดร. Reyna กล่าวต่อไปว่า กลไกการขับเคลื่อนของตัวยานนั้น ตามจารึกเรียกว่า แอสตรา(Astras) สามารถที่จะนำมนุษย์ไปยังดาวดวงใดก็ได้ที่ต้องการ เหลือเชื่อดีมั๊ยล่ะครับ เอกสารโบราณของชาวภารตะเมื่อหลายพันปีก่อนเนี่ย นอกจากนี้ เนื้อหาในจารึกยังกล่าวถึง "อันติมะ" ยานยนตร์ที่ล่องหนได้ และ "การิมะ" อากาศยานขนาดใหญ่เท่าภูเขาขนาดย่อม เหมือนนิทานดีนะครับจารึกพวกนี้ แน่นอนว่าทีแรกทีมงานแปลไม่ได้ใส่ใจจารึกพวกนี้มากนัก จนกระทั่งกองทัพสาธารณรัฐประชาชนจีนประกาศว่า จะมีการนำเอาเนื้อหาส่วนหนึ่งของจารึกนี้มาวิจัยในโครงการอวกาศของจีนด้วยนั่นแหละ ทั่วโลกจึงหันมาจับตา "นิทานโบราณ"พวกนี้อย่างจริงจัง เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งว่า จารึกเหล่านี้ขาดหายตกหล่นไปเป็นจำนวนมาก ถึงกระนั้น นักวิชาการรวมไปถึงนักโบราณคดีก็ได้อะไรไม่น้อยจากจารึกนี้ เชื่อไหมครับว่ามีการกล่าวถึงการเดินทางสู่ดวงจันทร์ในมหากาพย์ รามายณะ อากาศยานที่พวกเขาใช้โดยสารเรียกว่า 

วิมานะ หรือ แอสตรา

ที่เซอร์ไพรส์ยิ่งกว่านั้นก็คือมีการกล่าวถึง การทำสงครามอวกาศด้วยวิมานะด้วยครับ ระหว่างชาวอินเดียโบราณกับชาว Asvin 

รูปแกะสลักย่อส่วนของวิมาน หรือ วิมานะของอินเดีย

 ถ้าเรื่องในจารึกเป็นแค่นิทานหรือนิยาย ก็นับว่าเป็นนิยายวิทยาศาสตร์เรื่องแรกของโลกที่กล่าวถึงการทำสงครามอวกาศก่อนหน้า Star Wars ของ จอร์จ ลูกัส เกือบหมื่นปีเชียว เพื่อเจาะลึกเรื่องวิมานะนี้ให้มากขึ้นอีก ผมขออนุญาตพาท่านย้อนยุคไปยังอาณาจักรโบราณ ซึ่งตามจารึกกล่าว่าเจริญรุ่งเรืองมาเมื่อ 15,000 ปีก่อนหน้านี้ อาณาจักรนี้ชื่อ Rama Empire ตั้งอยู่ทางเหนือของอินเดียและปากีสถาน นักโบราณคดียืนยันว่า นครแห่งนี้ไม่ใช่มีแต่ในนิทานเท่านั้น หากแต่มีอยู่จริงทำนองเดียวกับทรอยและไมซีนี่ เพราะมีการขุดพบโบราณสถาน โบราณวัตถุ ตลอดไปจนจารึกอีกจำนวนมากกระจัดกระจายอยู่ในบริเวณที่ตั้งของนคร ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นทะเลทรายอย่างไม่ทราบสาเหตุ ร่องรอยของอาณาจักร Rama ยังหลงเหลืออยู่ในตำนานปัจจุบัน หลายเรื่องเช่นนครทั้งเจ็ดอันกอปรขึ้นเป็นอาณาจักร Rama นี้เรารู้กันกันตามตำนานในชื่อของ 


"The Seven Rishi Cities." หรือ นครของกษัตริย์ลิจฉวี นั่นเอง
นครนี้มีคงความเจริญทางเทคโนโลยีไม่แพ้ปัจจุบันทีเดียว เพราะตามจารึกกล่าวถึงความเป็นอยู่ของพลเมืองไว้อย่างพิสดารมาก พวกเขาไปไหนมาไหนกันด้วยพาหนะที่เรียกว่า 

Vimanas หรือ วิมาน

ลักษณะของมันประกอบด้วยดาดฟ้าสองชั้น ตัวยานมีลักษณะกลมเหมือนโดม มีรูระบายอากาศโดยรอบ คิดเหมือนผมไหมครับว่า ลักษณะของเจ้าวิมานะเนี่ยช่างละม้ายคล้ายคลึงกับ UFOs เสียจริงๆ ยังมีอีกนะครับ วิมานะสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วยิ่งกว่าสายลม แถมยังมีเสียงเหมือนบรรเลงเครื่องดนตรีสี่ประเภทพร้อมกันอีก วิมานะมีอยู่หลายรุ่นหลายรูปแบบครับ ในจารึกยังมีคู่มือการขับวิมานะประเภทต่างๆ รวมถึงการหลักการสร้างและทำลายวิมานะของข้าศึก เดี๋ยวผมจะเอารายละเอียดให้ดูครับ 

ข้อมูลเกี่ยวกับ -วิมานะ ที่มีอยู่ในจารึก 

• ความลับในการสร้างวิมานะให้แข็งแกร่ง ไม่ไหม้ไฟ และไม่ให้โดนทำลายโดยง่ายจากข้าศึก 

• กรรมวิธีขับเคลื่อนวิมานะ การหยุดกลางอากาศ การชะลอความเร็ว

• วิธีการทำให้วิมานะ สามารถหลีกเลี่ยงการตรวจจับจากฝ่ายศัตรู 

• การดักฟังคำสนทนาและเสียงอื่นๆในวิมานะฝ่ายตรงข้าม 

• การตรวจจับและอ่านทิศทางการเคลื่อนไหวของวิมานะฝ่ายศัตรู 

• กรรมวิธีทำให้ผู้ขับวิมานะของศัตรูหมดสติหรือสับสน 


การทำลายวิมานะข้าศึกด้วยวิธีต่างๆอ่านๆดูแล้วงงเป็นไก่ตาแตกเลยครับผม ท่านจะเชื่อหรือครับว่านี่คือจารึกโบราณเมื่อหลายพันปีก่อน ถ้ามันเป็นแค่นิทาน ก็นับเป็นนิทานที่เขียนได้เป็นตุเป็นตะดีมาก เพราะมีทั้งการจารกรรม การวินาศกรรม และการขับอากาศยานแบบครบถ้วนกระบวนการเหลือเกิน สำหรับใครที่สนใจเรื่องราวแบบเต็มๆของเรื่องนี้ รายละเอียดมีอยู่ในงานแปลจารึกที่ถ่ายทอดออกมาจากต้นฉบับสันสกฤตเป็นภาษาอังกฤตครับ รู้สึกจะเป็น 

MAANIDASHAASTRA AERONAUTICS

by Maharishi Bharadwaaja, translated into English and edited, printed and published by Mr. G. R.Josyer, Mysore, India, 1979 หาอ่านกันตามสะดวกครับ ดร. Josyer สถาบันศึกษาภาษาสันสฤตนานาชาติกล่าวว่า จากลักษณะที่ปรากฏในจารึกโบราณหลายๆชิ้น เจ้าวิมานะนี้คงจะไม่ได้เป็นเพียงตำนานเสียแล้ว เขาให้ข้อสังเกตต่อไปว่า วิมานะสามารถขึ้นลงในแนวดิ่งและแล่นไปบนท้องฟ้าได้ด้วยความเร็วสูง หากเจ้าวิมานะไม่มีกลไกบางอย่างที่สามารถต้านทานแรงดึงดูดโลกแล้วล่ะก็ มันคงใช้หลักการขับเคลื่อนแบบเดียวกับเฮลิคอปเตอร์ในปัจจุบัน คือสามารถขึ้นลงตรงๆได้โดยไม่ต้องอาศัยสนามบิน 


"  วิมานะ ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยกฤษฎาอภินิหาร แต่มันอาศัยเชื้อเพลิงเป็นตัวขับเคลื่อนครับ เชื้อเพลิงที่ว่าเป็นของเหลวสีเหลืองออกไปทางขาว บางที่ก็ใช้ปรอทเหลวเป็นเชื้อเพลิง รู้สึกว่าผู้จารึกจะสับสนในรายละเอียดของเชื้อเพลิงอยู่มาก มันเหมือนกับว่าเขาเขียนเอาจากการสังเกตการณ์อยู่ข้างๆ หรือไม่ก็อ้างอิงเอามาจากตำราสมัยก่อนเสียมากกว่า" 

ดร. Josyer ทิ้งท้ายไว้แบบนี้ครับ เป็นไปได้ไหมครับว่านั่นอาจเป็นเพราะวิมานะมีหลายรุ่น มีทั้งแบบใช้เชื้อเพลิงเจ็ทและใช้ปีกหมุนแบบเฮลิคอปเตอร์ คำถามนี้คงไม่มีใครตอบได้ นอกเสียจากจะตามขึ้นไปถามคนจารึกบนสวรรค์ 

จากส่วนหนึ่งของมาหกาพย์ มหาภารตะ มีวิมานะอยู่ประเภทหนึ่งครับมีลักษณะเป็นลูกกลมๆ ส่งเสียงดังปานฟ้าผ่า แถมยังวิ่งด้วยความเร็วสูงมาก ลักษณะเหมือน UFOs ที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบันไม่มีผิดครับ เมื่อเร็วๆนี้เอง มีการแถลงการจากนักโบราณคดีรัสเซียถึงการค้นพบเครื่องยนต์ปริศนา ที่ถ้ำเล็กๆในทะเลทรายโกบี เครื่องยนต์ที่ว่าทำจากแก้วและโลหะคาดว่าต้องเป็นชิ้นส่วนของยานพาหนะสักอย่างในอดีต ในโคนซึ่งมีลักษณะคล้ายท่อไอเสียของเครื่องยนต์พบสารปรอทตกค้างอยู่เป็นจำนวนมาก เล่นเอานักโบราณคดีกลุ่มนั้นงงเป็นไก่ตาแตก เพราะนึกไม่ออกเหมือนกันว่าใครหนอ ที่มาทิ้งเครื่องยนต์อายุเกือบแปดพันปีเหล่านี้ไว้ในถ้ำเล็กๆ ในทะเลทรายที่ปราศจากผู้คนแบบนี้ น่าเสียดายครับ ที่วิมานะก็เหมือนอากาศยานที่ใช้กันในปัจจุบัน คือเน้นงานสงครามเป็นหลัก ชาวภารตะโบราณเล่าขานถึงการขับเคี่ยวในเชิงยุทธ์ ระหว่างพวกเขาและคู่สงครามด้วยวิมานะอย่างน่าฟัง คู่สงครามของพวกเขาเป็นมหานครที่เจริญด้วยอายธรรมเสียยิ่งกว่าพวกเขาอีก ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของ Rama Empire ไกลโพ้นออกไปกลางมหาสมุทร ชาวภารตะโบราณเรียกอาณาจักรนั้นว่าอาณาจักรของพวก Asvin และเรียกวิมานะของฝ่ายนั้นว่า Vailixi ครับ มีอยู่บทหนึ่ง(ในหลายๆบท)ในมหภารตะที่โด่งดังมากครับ เพราะให้ภาพชัดเจนเกี่ยวกับสงครามนิวเคลียร์มาก มีการใช้ขีปนาวุธที่ 





"  ยาวราวเจ็ดชั่วตัวคน ขับเคลื่อนด้วยเปลวไฟในตัวเอง สามารถทำลายเมืองได้ทั้งเมือง" 

ถล่มกันจากวิมานะ มีอยู่บทหนึ่งกล่าวว่า อาวุธของฝ่ายข้าศึกช่างร้ายแรงราวกับรวมพลังจากทั่วสากลโลกมาไว้ในตัวเอง อานุภาพการทำลายเต็มไปด้วยไฟ ควัน และคลื่นความร้อนราวกับดวงอาทิตย์ขึ้นพร้อมกันทีละสิบดวง อาวุธนี้สามารถแปรสภาพพื้นที่รอบบริเวณได้ในพริบตา มันเผาผลาญธัญญาหารจนเกรียมวายวอดไปทั้งท้องทุ่ง ผู้คนจะผมเผ้าขาวโพลนและหลุดร่วง นกบนท้องฟ้าจะเปื้อนฝุ่นละอองสีขี้เถ้า ตกลงมาตายนับพันตัว มิช้ามินาน อาหารและเสบียงที่มีจะเป็นพิษจนหมดสิ้น วิธีการหนีรอดจากไฟบรรลัยกัลป์นี้ของทหารภารตะโบราณคือ ถอดเสื้อผ้าและชุดเกราะออก ลงไปชำระกายในน้ำเพื่อมิให้ฝุ่นละอองนี้ติดตัว  Gurkha ยามนั้นได้บินอยู่บนฟ้าอย่างรวดเร็วเหนือนครของพวก Vrishis และ Andhakas และได้ปล่อย "อาวุธ" ทรงพลังยิ่งที่ประจุด้วยพลังทั้งมวลของจักรวาลลงไปยังนครของพวกนั้น เกิดเป็นควันและเปลวเพลิงลุกโชติช่วงขึ้นเป็นแนวตั้ง เกิดประกายแสงสว่างจ้าเฉกเช่นดวงอาทิตย์หมื่นดวง เป็นสารแห่งความตายที่มโหฬารยิ่งซึ่งทำให้นครทั้ง 3 ของ Vrishis และ Andhakas เหลือแต่เพียงเถ้าถ่าน"  

ช่างเป็นอาวุธที่น่ากลัวจริงๆ เลย และยังพบอีกว่าลักษณะการต่อสู้ด้วยอาวุธชนิดนี้ไม่ใช่พบแต่เฉพาะชาวอินเดียโบราณเท่านั้น ยังพบในอารยธรรมโบราณอื่นๆ อีกด้วย ผลของอาวุธมหาประลัยที่ตามมาก็คือ ผู้คนล้มตายเพราะถูกเผาผลาญด้วยเพลิงบรรลัยกัลป์ ส่วนผู้ที่รอดตายก็จะมีอาการผมและเล็บหลุดร่วง เหมือนดังเช่นสงครามนิวเคลียร์ในสมัยนี้มิมีผิด.

 และในฉบับจารึกดั้งเดิมก็ได้กล่าวถึงการสร้างอาวุธชนิดนี้เอาไว้ด้วย พร้อมทั้งคู่มือและวิธีการใช้อย่างละเอียดและกระชับ ชาวอินเดียโบราณนี่ไม่ธรรมดาเอาซะเลย มีเทคโนโลยีที่สูงถึงขนาดนี้ นี่เป็นเพียงจินตนาการหรือการถ่ายทอดภาพของสงครามนิวเคลียร์ให้ชนรุ่นหลังได้รับทราบ? โดยส่วนตัวแล้ว ผมเห็นด้วยกับเจ้าของหนังสือเล่มที่ผมแกะมานี้มากเลย ระเบิดและฝุ่นกัมตภาพรังสี ผลที่เกิดกับร่างกายมนุษย์ การปนเปื้อนและตกค้างของฝุ่นนิวเคลียร์ ไม่มีอะไรจะต้องสงสัยอีกแล้วว่า เมื่อนานแสนนานมาแล้วมนุษย์ได้ทำลายล้างกันด้วยอาวุธมหาประลัยชนิดนี้มาก่อนและบันทึกเรื่องราวเอาไว้เพื่อตักเตือนอนุชนรุ่นหลังถึงพิษภัยของมัน ในเมืองโมเฮนโจดาโร อดีตชุมชนแสนโบราณบริเวณลุ่มน้ำสินธุ มีการพบว่าโครงกระดูกในสุสานจำนวนมากที่ปนเปื้อนกัมตภาพรังสีอยู่ รวมทั้งกำแพงเมือง และภาชนะบางชิ้นที่หลอมละลายจนกลายเป็นแก้ว เนื่องจากโดน "ความร้อนที่ไม่ทราบที่มา" หลอมละลายจนกลายเป็นแบบนี้ 


ไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่าวิมานะของชาวภารตะโบราณ เกี่ยวข้องอย่างไรกับ UFOs ที่พบเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน เพราะตามจารึกแล้ว 

Rama Empire ล่มสลายไปหมดเนื่องจากสงครามครั้งใหญ่ครั้งนั้น ทว่านักวิชาการส่วนหนึ่งยังมีความหวังอยู่ เนื่องจากในจารึกมีการกล่าวถึงการเดินทางระหว่างดวงจันทร์กับพื้นพิภพด้วยวิมานะ มีการรบกับระหว่างชาวภารตะกับชาว Asvin บนน่านฟ้าเหนือวงโคจรดวงจันทร์ ไม่แน่นะครับ ในหลืบใดหลืบหนึ่งของดวงจันทร์ อาจมีผู้รอดตายจากสงครามครั้งนั้นเหลืออยู่ก็ได้

จากต้นฉบับสันสกฤตของ Samarangana Sutradhara ยังได้จารึกไว้อีกว่า

" วิมานะที่สร้างขึ้นนั้นจะมีความแข็งแกร่ง เบาเหมือนขนนกเวลาบิน และภายในมีเครื่องยนต์และอุปกรณ์ให้ความร้อนภายใต้ยาน โดยใช้หลักการขับเคลื่อนแบบลมหมุนทำให้เกิดแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลางจนทำให้แรงดึงดูดถูกหักล้างไปเป็นศูนย์จนทำให้วิมานะนั้นลอยขึ้นมาได้ ก็เป็นหลักการคร่าวๆ ของ วิธี Anti-Gravitation" ซึ่งวิมานะนั้นก็จะสามารถลอยขึ้นลง เดินหน้าถอยหลังได้สะดวกดังใจของผู้ที่บังคับหรือควบคุมวิมานะอยู่ ใน Hakatha หรือกฎหมายของชาวบาบิโลน (Laws of the Babylonians) ก็ได้มีบันทึกเกี่ยวกับความรู้และการบังคับยานพาหนะบางชนิดที่ลอยบนฟ้าได้ซึ่งเค้าจารึกเอาไว้ว่าความรู้นี้เป็น 

"มรดกที่ตกทอดมาจากผู้ที่ลงมาจากท้องฟ้า "  

จากการวิจัยและศึกษาของ D.hatcher Childress ที่งานวิจัยของเค้าเป็นสิ่งที่เกี่ยวกับปรากฎการณ์ที่แปลกประหลาดหรือ UFOs ซึ่งเค้ากล่าวสรุปเอาไว้ดังนี้ว่า


อาจจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ต่างดาว , ความลับทางการทหาร , หรือจากชาวอินเดียโบราณและชาวแอตแลนติส ได้กล่าวเอาไว้อีกว่า ต้นฉบับจารึกเหล่านี้น่าจะเป็นเรื่องราวที่ได้จารึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาจากเหตุการณ์หรือเรื่องจริง และรายละเอียดของตัวอักษรหรือข้อความที่ได้จารึกเอาไว้นั้นน่ะไม่น่าจะผิดเพี้ยนไปมากนัก และเค้ายังกล่าวอีกว่า ยังมีจำนวนของต้นฉบับภาษาสันสฤตอีกมากที่ยังไม่ได้ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาอังกฤษ

 ทีนี้เรามาดูทางด้านกษัตริย์อินเดียพระองค์หนึ่งบ้างดีกว่าครับ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พระเจ้าอโศกมหาราช (Emperor Ashoka) นั่นเอง พระองค์ก็ทรงมีบทบาทที่เกี่ยวข้องกับวิมานะเหมือนกัน คือว่าพระเจ้าอโศก ได้ก่อตั้ง Secret Society of Nine Unknown Men ขึ้นมาครับ ซึ่งพระเจ้าอโศก ก็ได้ดำเนินงานศึกษาเรื่องยานพาหนะเหล่านี้อย่างเป็นความลับกับนักวิทยาศาสตร์ของพระองค์ เพราะกลัวว่าความรู้และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีขนาดนั้นจะนำไปสู่สงครามได้ และนำความรู้ที่ได้บันทึกเก็บเป็นหนังสือเก้าเล่มที่ชื่อว่า The Nine Unknown Men โดยเนื้อหาในหนังสือเหล่านี้จะเกี่ยวกับ ความลับของแรงโน้มถ่วง The Secret of Gravitation และวิธีควบคุมแรงโน้มถ่วง Gravity Controll ตลอดไปจนเรื่องราวของวิมานะ โดยตามจารึกแล้วหนังสือเหล่านี้อาจถูกซุกซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งในอินเดีย ถ้ำตามทะเลทราย อเมริกาเหนือ หรือบางทีอาจจะมีชาติมหาอำนาจค้นพบไปแล้วก็ได้ครับ ก็พอมีทางเป็นไปได้เหมือนกัน พระเจ้าอโศก ก็ทรงทราบละครับว่าเจ้าเครื่องมือและยานพาหนะเหล่านี้ละ ที่เป็นเครื่องมือที่ใช้รบและทำลายล้างกันในยุคของอาณาจักรพระราม (Rama Empire) เมื่อหลายพันปีมาก่อนนี่แหละครับเป็นสาเหตุที่ทำให้พระเจ้าอโศกทรงเก็บวิทยาการเหล่านี้ไว้เป็นความลับ และนำไปซุกซ่อนเสียเพื่อที่จะไม่ให้ประวิติศาสตร์ซ้ำรอยนั่นเอง ซึ่งต่อมาจีนก็ได้ค้นพบนำจารึกเหล่านี้ไปทำการศึกษาและวิจัยอีกด้วยเหมือนกัน 


มาว่ากันต่อถึงยุคของอาณาจักรของพระราม (Rama Empire) ซึ่งตามต้นฉบับภาษาสันสกฤตที่พบในทะเลทรายของประเทศปากีสถาน ทางเหนือและตะวันตกของอินเดียนั้นก็ระบุว่ามีอีกอาณาจักรหนึ่งที่มีความยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน ซ้ำยังมีเทคโนโลยีที่เจริญกว่าอินเดียโบราณเสียอีก อาณาจักรที่ว่านั้นคือ
ชาวแอตแลนติส  (Atlantean) ซึ่งอาณาจักรนี้นั้นตั้งอยู่ที่ใจกลางมหาสมุทรแอตแลนติก ปกครองโดยกษัตริย์ที่เรียกว่า Enlightened Priest-King ซึ่งภายหลังทั้งสองอาณาจักรก็ได้เกิดการสู้รบกันขึ้นนั่นเอง มาทางด้านเมืองทั้ง 7 ของอาณาจักรของพระราม

มหาอาณาจักรแอตแลนตีที่เคยจมหายไปร่วม 13000 ปี


(The Seven Greatest Capital Cities of Rama) หรือในภาษาฮินดูว่า 

The Seven Rishi Cities บรรดาประชาชนต่างก็มีวิมานะใช้กันครับ โดยที่ผู้ที่สร้างวิมานะนั้นก็ได้ทำคู่มือใช้งานไว้ให้พร้อมเสร็จสรรพ ซึ่งใน The Samara Sutradhra  ผู้เขียนเค้าเชื่อครับว่า

ยานวิมานะมีอยู่จริงและพยายามค้นคว้าจากจารึกโบราณเกี่ยวกับโครงสร้าง (Construction) การนำวิมานะลอยขึ้น (Take off) การบินเป็นระยะทางไกลๆ เช่นการเดินทางข้ามเมืองหรือดวงดาวและการนำลงจอด (Landing) แม้แต่ศึกษาถึงเรื่องที่จะหลบเลี่ยงไม่ให้ชนกับบรรดานกทั้งหลายบนฟ้าว่าทำยังไง ต่อมาในปี ค.ศ.1875 ท่านนักปราชญ์ชาวอินเดียชื่อ Bharadvajy ไค้ค้นพบจารึกเก่าแก่ที่พบในโบถส์ของอินเดียและได้นำมาเขียนหนังสือซึ่งเนื้อหากล่าวถึงการขับวิมานะเป็นระยะทางไกลๆ และข้อพึงระวังต่างๆ เช่น การป้องกันวิมานะจากพายุและสายฟ้า รวมไปถึงการเปลี่ยนมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy) เป็นแหล่งพลังงาน


ซึ่งหนังสือนั้นชื่อว่า Vaimanika Sastra มีด้วยกันทั้งหมด 8 บทพร้อมบรรยายรายละเอียดไว้อย่างดี เช่น วัสดุที่ใช้สร้างมี 16 ชนิด ทั้งยังอุปกรณ์ที่เป็นเครื่องมือเบรคและยิงในเวลาเดียวกัน และอุปกรณ์ดูดซับความร้อนและแสง พร้อมทั้งเหตุผลต่างๆ ได้ถูกบรรยายทุกอย่างเอาไว้อย่างละเอียดครับ ซึ่งต่อมาก็ได้ถูกแปลไปเป็นภาษาอังกฤษที่เรียกว่า

VYMAANIDASHAASTRA AERONAUTICS โดย Maharishi Bharaswaaja ในปี ค.ศ. 1979 นั่นเอง และทางด้านฮิตเลอร์ก็มีความสนใจในวิมานะเช่นกันครับ ในยุค 1930 กว่าๆ นั้นทางด้านนาซีก็ได้นำจารึกและความรู้จากบันทึกเหล่านี้ไปพัฒนาจนได้มาเป็นเครื่องยนต์ที่เรียกว่า V 8 Rocket "Buzz Bombs" นั่นเอง


ในบทหนึ่งของมหาภารตะและรามายณะที่ชื่อ Dronaparva ได้ก็บรรยาลักษณะของวิมานะเอาไว้ว่ามีรูปร่างทรงกลมและมีความเร็วดุจดังลม ขับเคลื่อนโดยเชื้อเพลิงที่เป็นปรอท เคลื่อนที่ดุจ UFO ขึ้นลงได้ดังใจนึก และใน The Samar ที่เป็นอีกหนึ่งจารึกกล่าวว่า

"   เป็นเหล็กเนื้อเดียวกันอย่างดีและราบเรียบตลอดลำ" 

จากอีกหนึ่งบันทึกชื่อว่า Samaranganasutradhara ได้บรรยายถึงวิธีการสร้างวิมานะอีกด้วย ซึ่งทางด้านนักวิทยาศาสตร์ของรัสเซีย (โซเวียตในสมัยนั้น) ก็ได้ค้นพบ "บางสิ่ง" เหมือนกันครับในถ้ำของทะเลทรายโกบี เค้าเรียกว่า


"Ageold Instruments used in navigating cosmic vehicles" อุปกรณ์นี้มีลักษะเป็นแก้วหรือพอร์ซเลนครึ่งซีก (Porcelain = Ceramics ที่มีลักษณะขาวและแข็งแรงมาก) ตรงปลายเป็นทรงกรวยและมีปรอทอยู่ภายใน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์รัสเซียเค้าได้สันนิษฐานกันไว้ครับว่า มันอาจจะเป็นเครื่องมือหรืออุปกรณ์นำร่องและนำทางของวิมานะก็เป็นได้ มันเป็นอะไรที่งงมากครับสำหรับวิทยาการอินเดียสมัยก่อน ช่างล้ำหน้าเสียนี่ กระไร 

ในจารึกของ Mohenjodaro ที่พบในปากีสถานนั้นก็กล่าวถึงการบินของวิมานะว่าบินกันไปตลอดทั่วเอเชีย แอตแลนติส หรืออเมริกาใต้ไปจนถึงเกาะอีสเตอร์ (Easter Island) ก็ยังปรากฎอยู่ว่ามีโดยจากจารึกของเกาะอีสเตอร์ที่เรียกว่า Rongo เค้าว่าเอาไว้ครับว่าเกาะอีสเตอร์เป็นท่าอากาศยานของอาณาจักรพระรามอีกด้วย ยัง……ยังไม่พอครับ ใน Mohenjodaro ได้บรรยายอีกว่า

ณ โดมของวิมานะทางเดินผู้โดยสาร ก็มีเสียงที่ไพเราะเพราะพริ้งกล่าวประกาศขึ้นมาว่า 

"rama flight number seven for Bali, Easter Island, Nazka, and Atlantis is now ready for boarding. Passengers please proceed to gate number….หรือ สายการบินพระรามเที่ยวที่หมายเลข 7 ที่จะไปบาหลี  เกาะอีสเตอร์ นาซก้า และแอตแลนติส ตอนนี้พร้อมแล้วค่ะ เชิญท่านผู้โดยสารเดินไปที่ประตูได้เลยค่ะ" ข้อความนี้เค้าแปลมาจาก Rongo จารึกที่พบบนเกาะอีสเตอร์ ดูเอาเถอะครับว่ามันช่างน่าอัศจรรย์ใจดีแท้ !!! ทางด้านทิเบตก็ไม่ธรรมดาครับมีจารึกกะเค้าอีกเหมือนกัน

"Bhima flew along in his car, resplendent as the sun and loud as thunder…

the flying chariot shone like a flame in the night sky of summer..

it swept by like a comet..

it was as if two sun were shining. 

Then the chariot rose up and all heaven brightened"

 ก็บรรยายถึงลักษณะของพาหนะบินได้ที่ส่องสว่างดุจดวงอาทิตย์และเสียงดังราวฟ้าผ่า บินดุจดั่งดาวหางใน Mahavira of Bhavavhuti (มหาวีระของภวภูติ ) ก็ยังมีจารึก มีอายุราว 8,000 ปี หลังจากทำการแปลแล้วได้ความตามนี้ เค้ากล่าวไว้ว่า

มีการบรรทุกคนจำนวนนึงไปยังอโยธยาด้วยพาหนะที่บินได้ และบนท้องฟ้าเต็มไปด้วยพาหนะเช่นนี้ทั้งขนาดเล็กและใหญ่ กลางคืนสว่างดุจกลางวันด้วยแสงเหลืองนวลพราวท้องฟ้า เหมือนเป็นการอพยพผู้คนด้วยเหตุผลอะไรสักอย่างนึง 

ทีนี้ลองมาดูกลอนฮินดูโบราณดูบ้าง (เค้าว่าเก่าแก่กว่าของอินเดียทั้งหมดซะอีก) ที่ชื่อว่า Vedas ที่บรรยายถึงวิมานะในรูปร่างต่างๆ กัน เช่น 





Ahnihotra Vimana มี เครื่องยนต์ 2 ตัว แต่ Elephant Vimana มีเครื่องยนต์มากกว่านั้น  และวิมานะชนิดอื่นก็ตั้งตามชื่อสัตว์ต่างๆ กันไปเช่น วิมานะนกกระเต็น Kingfisher Vimana หรือ วิมานะนกช้อน Ibis Vimana จากจารึกนี้วิมานะชื่อไม่เหมือนทางอินเดียเลย วิมานะจากจารึกของฮินดูน่าจะมีหลากหลายชนิดกว่า แต่ก็เป็นที่น่าเสียครับว่าท้ายที่สุดวิมานะก็ถูกนำมาใช้ในการสงคราม ชาว Atlantean หรือ Asvin ที่ชอบการศึกสงครามเป็นอย่างยิ่ง และความเจริญทางด้านเทคโนโลยีที่สูงเจริญกว่า มียานบินที่เรียกว่า Vailixi มีรูปร่างคล้ายซิการ์ สามารถที่จะแล่นไปยังใต้น้ำได้ดุจดังแล่นบนท้องฟ้า หรือแม้กระทั่งอวกาศ เข้าสู้รบกับทางด้านอินเดียโบราณที่มี Vimana เป็นอาวุธและมีความเจริญทางด้านเทคโนโลยีที่ด้อยกว่า จากบันทึกของ Eklal Kueshana ได้เขียนหนังสือเรื่อง 




The Ultimate Frontier ในปี 1966 มีตอนนึงกล่าวว่า

Vailixi ถูกสร้างและพัฒนาเมื่อ 20,000 ปีมาแล้วในแอตแลนติส โดยลักษณะหน้าตัดเป็นสี่เหลี่ยมคางหมูพร้อมด้วยเครื่องยนต์ 3 ตัวข้างใต้ พวกเขาได้ใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่าอุปกรณ์ต่อต้านแรงโน้มถ่วงเป็นตัวขับโดยมีแรงม้าประมาณ 80,000 แรงม้า" มหาศาลมาก  



ในมหาภารตะและรามายณะก็กล่าวถึงสงครามระหว่างพระรามและแอตแลนติส โดยใช้อาวุธเข้าทำลายล้างกันเมื่อประมาณ 10,000 - 12,000 ปีก่อนเอาไว้ด้วย ก็เป็นที่แน่นอนละครับว่าสงครามที่เกิดขึ้นนั้นหนักหนาสาหัสมาก เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีอาวุธมหาประลัยทำลายล้างด้วยกันทั้งสองฝ่าย จนกลายเป็นสงครามนิวเคลียร์ บางจารึกก็กล่าวว่าสมรภูมิรบบางทีก็เป็นบนดวงจันทร์  เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียที่มีสาเหตุมาจากอาวุธนิวเคลียร์ แต่ภายหลังก็จบลงด้วยความพินาศของทั้งสองฝ่าย 

ต่อมานักโบราณคดีได้พบกับโครงกระดูกมากมายนอนเรียงรายอยู่ตามถนน บ้างก็กุมมือกันไว้เหมือนกับว่าโดนหายนะมาเยือนโดยฉับพลันหรือไม่ก็รู้ว่าหนีไม่พ้น ทั้งยังพบรังสีมากมายในโครงกระดูกนี้ และสถานที่รอบๆ กำแพงเมืองหินหลอมเป็นเนื้อเดียวกันดั่งโดนความร้อนที่สูงมากอย่างนั้นละ ไม่ใช่พบแต่ในอินเดียเท่านั้น ไอร์แลนด์ สก็อตแลนด์ ฝรั่งเศส ตุรกี ก็ยังพบปรากฏการณ์ที่ว่านี้อีกด้วย ไม่เท่านั้นน่ะซิครับ เค้ายังพบอีกว่าผังเมืองที่ว่าได้ถูกวางเอาไว้อย่างดี ระบบประปาก็ดีเหมือนดังที่ใช้กันในปัจจุบันในอินเดียและปากีสถาน เค้ายังสำรวจต่อไปอีกและพบเศษแก้วจับตัวกันเป็นก้อนดำๆ ซึ่งจากการนำไปวิเคราะห์ก็พบว่ามันเป็นเศษหม้อดินเหนียวที่ถูกความร้อนสูงเผาจนกลายเป็นลักษณะดังกล่าว ซึ่งที่แอตแลนติสจมลงและการหายไปของอาณาจักรพระรามของอินเดียโบราณก็เพราะสงครามครั้งนี้นั่นเอง จากนั้นโลกก็กลับกลายมาเป็นยุคหินอีกครั้งนึง

และประวัติศาสตร์โฉมใหม่ของมนุษย์ชาติก็เกิดขึ้นมาอีกราว 2,000-3,000 ปีต่อมา แต่ก็ไม่ใช่ว่าเรื่องราวของวิมานะจะหายไปเสียหมด ก็ยังปรากฎอยู่ในหน้าประวัติของพระเจ้าอโศกดังที่กล่าวไปแล้วตอนต้น มีเรื่องราวแถมตอนท้ายอีกหน่อยครับเกี่ยวพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชได้กรีฑาไพร่พลไปเข้ายังอินเดีย เมื่อ 2,000 ปีล่วงมาแล้ว ก็เจอเข้า "flying saucer" มาลอยอยู่เหนือกองทัพ แต่เจ้าสิ่งนั้นก็มิได้ปล่อยลำแสงหรืออาวุธอันใดออกมาทำร้ายยังกองทัพของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์แต่อย่างใด และเป็นคาดกันว่า Vimana หรือ Vailixi อาจจะถูกซุกซ่อนอยู่ตามถ้ำในทิเบตหรือเอเชียตอนกลาง และทางตะวันตกของจีนก็เป็นได้


นอกจากนั้นจากบนจารึกใบปาล์มยังแสดงถึงโลหะผสมที่ไม่ทราบชนิดซึ่งบ้างก็จารึกเรื่องราวและรายละเอียดของดวงดาวต่างๆ แสง สี ความร้อนและสนามแม่เหล็ก วิธีสร้างเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่สามารถดูดแสงสุริยะแล้วนำมาวิเคราะห์และแปลงเป็นพลังงาน และยังรวมไปถึงการขนส่งผู้คนที่อยู่ห่างไกลและข้อความด้วยเคเบิล และยังผลิตเครื่องมือหรือเครื่องจักรที่สามารถส่งผู้คนไปยังดวงดาวต่างๆ ได้ ก็เป็นที่น่าเสียว่าปัจจุบันวิทยาการต่างๆ เหล่านี้แทบจะไม่หลงเหลือมายังยุคปัจจุบันเท่าไหร่ จะมีก็เพียงแต่จารึกโบราณที่บ่งบอกความเจริญทางด้านเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าของอารยธรรมสมัยก่อน แล้วก็ล่มสลายลงไป แล้วเราละจะเดินตามรอยเหล่าบรรพบุรุษของหรือไม่ อันนี้ก็สุดที่จะหยั่งรู้ได้ครับ สำหรับอนาคตในวันข้างหน้า














ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น